ข้ามไปเนื้อหา

เฮนรี คิสซินเจอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก เฮนรี คิสซิงเจอร์)
เฮนรี คิสซินเจอร์
Henry Kissinger
คิสซินเจอร์ ใน ค.ศ. 1973
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ
ดำรงตำแหน่ง
22 กันยายน ค.ศ. 1973 – 20 มกราคม ค.ศ. 1977
ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
เจอรัลด์ ฟอร์ด
รอง
  • เคนเน็ธ รัช
  • โรเบิร์ต อิงเกอร์ซอลล์
  • ชาร์ลส์ โรบินสัน
ก่อนหน้าวิลเลียม โรเจอร์ส
ถัดไปไซรัส แวนซ์
ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ คนที่ 7
ดำรงตำแหน่ง
20 มกราคม ค.ศ. 1969 – 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975
ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
เจอรัลด์ ฟอร์ด
รอง
  • ริชาร์ด อัลเลน
  • อเล็กซานเดอร์ เฮก
  • เบรนต์ สคาวครอฟต์
ก่อนหน้าวอลต์ วิทแมน รอสโตว์
ถัดไปเบรนต์ สคาวครอฟต์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
ไฮนทซ์ อัลเฟรท คิสซิงเงอร์

27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923(1923-05-27)
เฟือร์ท บาวาเรีย เยอรมัน
เสียชีวิต29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023(2023-11-29) (100 ปี)
เคนท์ รัฐคอนเนทิคัต สหรัฐ
พรรคการเมืองริพับลิกัน
บุตร2
รางวัลรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ลายมือชื่อ
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ สหรัฐ
สังกัด กองทัพบกสหรัฐ
ประจำการ1943 – 1946
ยศ จ่า
ผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง

เฮนรี คิสซินเจอร์ (อังกฤษ: Henry Kissinger) หรือชื่อเกิดคือ ไฮนทซ์ อัลเฟรท คิสซิงเงอร์ (เยอรมัน: Heinz Alfred Kissinger; 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 – 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023) เป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิด ต่อมากลายเป็นนักการเมือง นักการทูต และที่ปรึกษาด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เดิมเขาเป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิด เขาและครอบครัวซึ่งมีเชื้อสายยิวได้อพยพออกจากนาซีเยอรมนีและมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐเมื่อปี ค.ศ. 1938 เขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสหรัฐและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ บทบาทของเขาที่ผลักดันข้อตกลงสันติภาพปารีสจนทำให้เกิดการหยุดยิงในสงครามเวียดนามทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี ค.ศ. 1973 ท่ามกลางความเห็นแย้งของบรรดาคณะกรรมการรางวัลโนเบล[1]

คิสซินเจอร์เป็นบุคคลซึ่งเป็นทั้งที่รักและที่ชังในการเมืองตะวันตก เขาดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยไม่สนหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เขายอมทำสิ่งสกปรกทุกอย่างที่จะช่วยรักษาอิทธิพลและผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกประณามว่าเป็นอาชญากรสงครามโดยบรรณาธิการข่าว, นักการเมือง, นักกิจกรรม และนักสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีสมคบคิดว่าเขามีส่วนรู้เห็นกับการทรมานและอุ้มหายโดยระบอบเผด็จการในหลายประเทศ[2][3][4] เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐประหารในประเทศชิลี ค.ศ. 1973 และเป็นผู้ให้ "ไฟเขียว" แก่รัฐบาลทหารอาร์เจนตินาในสงครามสกปรก และมีส่วนที่สหรัฐเข้าเป็นผู้สนับสนุนปากีสถานในสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศจนเกิดเป็นการสังหารหมู่[5] แม้จะถูกมองว่าเลวร้ายเพียงใด เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสหรัฐที่มีผลงานที่สุดโดยวงการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[6]

ปฐมวัยและการศึกษา

[แก้]

เฮนรี คิสซินเจอร์เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 1923 ที่เมืองเฟือร์ท (Fürth) รัฐไบเอิร์น ประเทศเยอรมนี เขาเกิดในครอบครัวชาวยิว เขาในวัยเด็กเริ่มมีความสงสัยต่อการเรืองอำนาจของฮิตเลอร์ ต่อมาในปี 1938 ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะปะทุ ครอบครัวคิสซิงเจอร์หลบหนีจากเยอรมนีไปยังสหรัฐ และตั้งถิ่นฐานในนครนิวยอร์ก เขาปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เรียนภาษาอังกฤษและถูกกลืนกับวัฒนธรรมอเมริกัน

คิสซิงเจอร์เริ่มศึกษาที่โรงเรียนมัธยมจอร์จ วอชิงตัน (George Washington High School) ในนครนิวยอร์ก และมีความโดดเด่นด้านการเรียน เขาได้รับการสนับสนุนจากครูเพื่อให้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น หลังจากเรียนจบมัธยม เขาเข้าร่วมกองทัพสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิยุโรปในฐานะพลทหาร และต่อมาในตำแหน่งนายการการข่าว ประสบการณ์ในช่วงสงครามนี้ได้ช่วยหล่อหลอมมุมมองเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศและการทูตของเขา

ต่อมาหลังสงคราม คิสซิงเจอร์เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 1947 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขารัฐศาสตร์ในปี 1954 การศึกษาในเยอรมนีและในสหรัฐรวมถึงประสบการณ์ในสงคราม มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการดำเนินงานด้านการทูตและยุทธศาสตร์ชาติของเขา ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ

งานวิชาการ

[แก้]

หลังจากได้รับการปลดประจำการทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 1954 คิสซิงเจอร์เริ่มเป็นนักวิชาการในฐานะนักวิจัยและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเขาได้รับการยอมรับจากการศึกษาด้านการเมืองระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ทางการทูต งานวิจัยระดับปริญญาเอกของเขาเรื่อง A World Restored วิเคราะห์เรื่องความสมดุลทางอำนาจในยุโรปหลังสงครามนโปเลียน ซึ่งเป็นการเสนอแนะให้มีระบบระหว่างประเทศที่มั่นคงเพื่อป้องกันการเกิดสงครามโลกอีกครั้ง งานนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก และทำให้คิสซิงเจอร์เริ่มมีชื่อเสียงในวงการการทูต นอกจากนี้ในระหว่างปี 1956 ถึง 1958 คิสซิงเจอร์ทำงานให้มูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์บราเธอร์ส ในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการศึกษาพิเศษ

ในช่วงปี 1956-1969 คิสซิงเจอร์ทำงานที่ฮาร์วาร์ดเป็นเวลา 13 ปี โดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์วิชาการเมืองระหว่างประเทศ เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการทูตและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งได้สะท้อนผ่านการเขียนหนังสือและบทความที่มีอิทธิพลในวงการศึกษาระดับโลก

นโยบายต่างประเทศ

[แก้]

นโยบายต่างประเทศของคิสซิงเจอร์มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งรวมถึงการยึดหลัก “Realpolitik” หรือ “การเมืองเชิงปฏิบัติ” ที่เน้นความสมดุลของอำนาจระหว่างประเทศมากกว่าการยึดถือหลักอุดมการณ์ประชาธิปไตยเสรีนิยม

หนึ่งในนโยบายที่มีชื่อเสียงที่สุดของคิสซิงเจอร์คือ การทูตแบบลับ (shuttle diplomacy) ซึ่งมีเป้าหมายในการลดความตึงเครียดในสงครามเย็น โดยเฉพาะในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและสหภาพโซเวียตในช่วงทศวรรษ 1970 คิสซิงเจอร์เริ่มต้นด้วยการส่งสัญญาณเพื่อเปิดการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนำไปสู่การเยือนจีนของประธานาธิบดีนิกสันในปี 1972 การเยือนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในเอเชียและทั่วโลก การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดแรงกดดันในสงครามเย็น แต่ยังช่วยให้สหรัฐฯ สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากสหภาพโซเวียตได้ดีขึ้น

อีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญคือ นโยบายการผ่อนคลาย (Détente) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต ในช่วงที่คิสซิงเจอร์ดำรงตำแหน่งเขาได้มีส่วนร่วมในการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ ในปี 1972 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตเพื่อจำกัดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในทั้งสองประเทศ การเจรจาเหล่านี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการลดความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์

นอกจากนี้ คิสซิงเจอร์ยังมีบทบาทสำคัญในสงครามเวียดนาม โดยการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพกับเวียดนามเหนือ ซึ่งในที่สุดนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 1973 ที่ยุติสงครามเวียดนาม การเจรจานี้แม้จะมีข้อถกเถียง แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จในเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ที่ช่วยลดการมีส่วนร่วมในสงครามที่ยาวนานและสูญเสียทรัพยากรจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศของคิสซิงเจอร์ก็ไม่ได้ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะในเรื่อง การสนับสนุนระบอบเผด็จการ ในบางประเทศ เช่น ชิลี กัมพูชา ซึ่งทำให้เขาถูกโจมตีว่าเป็นผู้สนับสนุนระบอบที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

คิสซิงเจอร์สมรสกับอันนาลีเซอ ฟไลเชอร์ (Anneliese Fleischer) ชาวเมืองเดียวกันในปี 1949 และทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสองคนได้แก่เดวิดและเอลิซาเบธ ต่อมาเขาหย่ากับอันนาลีเซอในปี 1964 และได้แต่งงานใหม่กับ ซูซานนา วินสตัน หญิงชาวอเมริกัน ในปี 1974 ซึ่งเป็นนักข่าวและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง

คิสซิงเจอร์เป็นบุคคลที่มีความรักในการอ่านและการศึกษา เขาชื่นชอบการอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวของสงครามและการทูต ในชีวิตส่วนตัวของเขา คิสซิงเจอร์มักจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องราวส่วนตัวในที่สาธารณะ แต่ก็ได้รับความสนใจจากสื่อและประชาชนเป็นอย่างมากจากบทบาทในฐานะที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

เฮนรี คิสซินเจอร์ ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2023 ที่บ้านพักในคอนเนตทิคัต สิริอายุ 100 ปี

อ้างอิง

[แก้]
  1. Feldman, Burton (2001). The Nobel Prize: A History Of Genius, Controversy, and Prestige. Arcade Publishing. p. 16. ISBN 978-1-55970-537-0.
  2. "Henry Kissinger: Realpolitik and Kurdish Genocide". March 24, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-18. สืบค้นเมื่อ March 1, 2019.
  3. Rohter, Larry (March 28, 2002). "As Door Opens for Legal Actions in Chilean Coup, Kissinger Is Numbered Among the Hunted". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ December 14, 2015.
  4. "Protesters Heckle Kissinger, Denounce Him for 'War Crimes'". The Times of Israel. January 30, 2015. สืบค้นเมื่อ December 14, 2015.
  5. Bass, Gary (September 21, 2013). "Blood Meridian". The Economist. สืบค้นเมื่อ February 13, 2016.
  6. "The Best International Relations Schools in the World". Foreign Policy. February 3, 2015. สืบค้นเมื่อ August 8, 2015.
ก่อนหน้า เฮนรี คิสซินเจอร์ ถัดไป
วิลเลียม โรเจอร์ส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ คนที่ 56
(1973 – 1977)
ไซรัส แวนซ์