พระวรสารลินดิสฟาร์น
โฟลิโอ 27r จากหนังสือ “พระวรสารลินดิสฟาร์น” | |
ผู้ประพันธ์ | เอดฟริธแห่งลินดิสฟาร์น? |
---|---|
ประเทศ | ราชอาณาจักรนอร์ทธัมเบรีย |
ภาษา | ภาษาละติน |
หัวเรื่อง | หนังสือพระวรสาร |
วันที่พิมพ์ | ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 |
ชนิดสื่อ | หนังสือวิจิตร |
พระวรสารลินดิสฟาร์น (ละติน: Lindisfarne Gospels, อังกฤษ: Lindisfarne Gospels - หอสมุดบริติช, ลอนดอน) เป็นหนังสือพระวรสารวิจิตรที่เขียนเป็นภาษาละติน ที่เขียนขึ้นที่ลินดิสฟาร์นในนอร์ทธัมเบรียเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 “พระวรสารลินดิสฟาร์น” ประกอบด้วยพระวรสารทั้งสี่ฉบับของพันธสัญญาใหม่ พระวรสารฉบับนี้ถือว่าเป็นงานศิลปะชิ้นที่งดงามที่สุดของงานศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของราชอาณาจักร ซึ่งเป็นลักษณะงานศิลปะที่ผสานระหว่างศิลปะแองโกล-แซ็กซอนและศิลปะเคลติกที่เรียกว่าศิลปะไฮเบอร์โน-แซ็กซอนหรือศิลปะเกาะ[1] พระวรสารเป็นงานฉบับสมบูรณ์ขาดก็แต่หน้าปกดั้งเดิม และอยู่ในสภาพที่ดีเมื่อคำนึงถึงอายุของหนังสือ
ประวัติ
[แก้]“พระวรสารลินดิสฟาร์น” เชื่อกันว่าเป็นงานของนักบวชเอดฟริธแห่งลินดิสฟาร์นผู้ต่อมามีตำแหน่งเป็นพระสังฆราชที่นั่นในปี ค.ศ. 698 และเสียชีวิตในปี ค.ศ. 721[2] นักวิชาการปัจจุบันระบุว่าปีที่เขียนคือราวปี ค.ศ. 715 และเชื่อกันว่าเป็นงานที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญคัธเบิร์ต แต่อาจจะเป็นได้ว่าเอดฟริธสร้างงานขึ้นก่อนปี ค.ศ. 698 เพื่อเป็นการฉลองการยกฐานะของนักบุญคัธเบิร์ตของนักบุญคัธเบิร์ตในปีนั้น[3] งานพระวรสารฉบับนี้เต็มไปด้วยภาพประกอบที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตามแบบฉบับของศิลปะเกาะ เดิมมีหน้าปกเป็นหนังที่ประดับด้วยอัญมณีและโลหะที่สร้างโดยบิลฟริธเดอะอังคอไรท์ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ระหว่างการรุกรานของไวกิงที่ลินดิสฟาร์นหน้าปกก็สูญหายไป และหน้าปกใหม่ได้รับการสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1852 อักขระที่ใช้เขียนเป็นอักขระแบบเกาะ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ก็ได้มีการแปลพระวรสารเป็นภาษาอังกฤษเก่า โดยแทรกคำต่อคำระหว่างเนื้อหาที่เป็นภาษาละติน โดยอัลเฟรด โพรโวสต์แห่งเชสเตอร์-เลอ-สตรีท ซึ่งเป็นงานแปลพระวรสารเป็นภาษาอังกฤษฉบับที่เก่าแก่ที่สุด
ระหว่างการยุบอารามสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษก็มีพระบรมราชโองการให้นำพระวรสารจากมหาวิหารเดอแรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เซอร์โรเบิร์ต ค็อตตอนก็ซื้อพระวรสารจากทอมัส วอล์คเคอร์ราชเลขาธิการของรัฐสภา งานสะสมหนังสือของค็อตตอนตกมาเป็นของพิพิธภัณฑ์บริติชในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต่อมาหอสมุดบริติชเมื่อแยกตัวจากพิพิธภัณฑ์[4]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Celtic and Anglo-Saxon Art: Geometric Aspects Derek Hull, Published 2003 Liverpool University Press. ISBN 0-85323-549-X (Google books link)
- ↑ Lindisfarne Gospels เก็บถาวร 2018-07-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน British Library. Retrieved 2008-03-21
- ↑ Backhouse, Janet, The Lindisfarne Gospels (Oxford: Phaidon, 1981)
- ↑ Time line เก็บถาวร 2020-01-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน British Library. Retrieved 2008-03-21
บรรณานุกรม
[แก้]- Calkins, Robert G. Illuminated Books of the Middle Ages. Ithaca, New York: Cornell University Press, 1983.
- De Hamel, Christopher. A History of Illuminated Manuscripts. Boston: David R. Godine, 1986.
- Walther, Ingo F. and Norbert Wolf. Codices Illustres: The world's most famous illuminated manuscripts, 400 to 1600. Köln, TASCHEN, 2005.
ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระวรสารลินดิสฟาร์น
- The Lindisfarne Gospels เก็บถาวร 2005-11-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, a free online seminar from the British Library.
- Lindisfarne Gospels: information, zoomable image เก็บถาวร 2018-07-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน British Library website
- British Library Digital Catalogue of Illuminated Manuscripts entry เก็บถาวร 2020-08-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Lindisfarne Gospels เก็บถาวร 2012-06-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, from the Northumbrian Association.