ราชอาณาจักรนาโปลี
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
ราชอาณาจักรนาโปลี Regno di Napoli | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1282–1799 ค.ศ. 1799–1816 | |||||||||||
สถานะ | ราชอาณาจักร | ||||||||||
เมืองหลวง | นาโปลี[1] | ||||||||||
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบศักดินา | ||||||||||
สมเด็จพระเจ้า | |||||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||
• ก่อตั้ง | ค.ศ. 1282 | ||||||||||
• รวมเป็นอาณาจักรเดียวกับซิซิลีที่เรียกว่าราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง | ค.ศ. 1816 | ||||||||||
|
ราชอาณาจักรนาโปลี (อิตาลี: Regno di Napoli; ละติน: Regnum Neapolitanum; นาโปลี: Regno 'e Napule) หรือ ราชอาณาจักรเนเปิลส์ (อังกฤษ: Kingdom of Naples) เป็นอาณาจักรทางตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี บางครั้งถูกจำสับสนกับ “ราชอาณาจักรซิซิลี” ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ก่อตั้งหลังจากการแยกตัวของซิซิลีจากราชอาณาจักรซิซิลีเดิมที่เป็นผลมาจากกบฏซิซิเลียนเวสเปิร์ส (Sicilian Vespers) ของปี ค.ศ. 1282 ระหว่างการเป็นราชอาณาจักร ราชอาณาจักรนาโปลีปกครองสลับกันปกครองโดยกษัตริย์ฝรั่งเศสหรือกษัตริย์สเปน ขึ้นอยู่กว่าผู้ใดจะมีอำนาจมากกว่า
ประวัติศาสตร์
[แก้]
ราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟิน
[แก้]ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ชาวนอร์มันได้ครอบครองรัฐในอิตาลีตอนใต้และซิซิลีที่ในอดีตเคยเป็นของชาวไบเซนไทน์, ชาวลอมบาร์ด และชาวมุสลิม ปี ค.ศ. 1130 โรเจอร์ที่ 2 ผู้รวบรวมดินแดนทั้งหมดของชาวนอร์มันเข้าด้วยกันตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งซิซิลีและปุลยา การมีตัวตนของรัฐนอร์มันดังกล่าวนี้ในช่วงแรกถูกคัดค้านจากสมเด็จพระสันตะปาปาและจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่อ้างตนเป็นกษัตริย์ปกครองพื้นที่ทางตอนใต้ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ราชอาณาจักรถูกส่งต่อให้จักรพรรดิในราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟิน (ที่โด่งดังที่สุดคือจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 กษัตริย์แห่งซิซิลีตั้งแต่ ค.ศ. 1198 ถึง ค.ศ. 1250) ภายใต้ผู้ปกครองกลุ่มแรกนี้ราชอาณาจักรเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ในทางการเมืองราชอาณาจักรเป็นรัฐที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากที่สุดในยุโรป ในทางเศรษฐกิจราชอาณาจักรเป็นศูนย์กลางสำคัญทางการค้าและผู้ผลิตธัญพืช และในทางวัฒนธรรมราชอาณาจักรซึบซับเอาศาสตร์ของชาวกรีกและชาวอาหรับเข้ามาในยุโรปตะวันตก
ราชวงศ์อ็องฌู
[แก้]หลังสิ้นเชื้อสายตามกฎหมายของราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟิน ชาร์ลส์แห่งอ็องฌู พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสได้รับสิทธิ์ในการควบคุมราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1266 ตามคำเชื้อเชิญของสมเด็จพระสันตะปาปาที่กลัวว่าพื้นที่ทางใต้จะตกเป็นของกษัตริย์ที่เป็นปรปักษ์กับพระองค์ ชาร์ลส์ได้ย้ายเมืองหลวงจากปาแลร์โมบนเกาะซิซิลีมาอยู่ที่นาโปลีซึ่งตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวคิดทางการเมืองของพระองค์ที่เอนเอียงไปทางอิตาลีตอนเหนือที่ทรงเป็นผู้นำของฝ่ายเกลฟ์ (ผู้นิยมสมเด็จพระสันตะปาปา) แต่การปกครองที่รุนแรงและการเรียกเก็บภาษีอย่างขูดเลือดขูดเนื้อก่อให้เกิดการปฏิวัติที่มีชื่อว่า "เวสปรี ซีซีลีอานี" ในปี ค.ศ. 1282 ส่งผลให้เกาะซิซิลีแยกตัวออกจากแผ่นดินใหญ่ไปอยู่ในการครอบครองของราชตระกูลอารากอนของชาวสเปน เหตุการณ์นี้ส่งผลอย่างมากต่อทั้งนาโปลีและซิซิลี ความขัดแย้งระหว่างชาวอ็องฌูกับชาวอารากอนดำเนินต่อไปเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ ซึ่งผู้ชนะตัวจริงคือกลุ่มบารอนที่แผ่ขยายอำนาจที่ได้มาจากกษัตริย์ ภาวะอนาธิปไตยที่เกิดขึ้นทำให้ระบอบศักดินาของราชอาณาจักรทั้งสองแข็งแกร่งขึ้น
ราชวงศ์อารากอน
[แก้]นาโปลีเจริญรุ่งเรืองในช่วงสั้น ๆ ในรัชสมัยของพระเจ้ารอแบต์แห่งนาโปลี (ค.ศ. 1309–43) แต่ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรมีเพียงเรื่องราวความขัดแย้งภายในราชวงศ์อ็องฌู สุดท้ายในปี ค.ศ. 1422 ราชอาณาจักรนาโปลีก็ตกเป็นของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 5 แห่งอารากอน ผู้ปกครองซิซิลีที่ในปี ค.ศ. 1443 ได้ตั้งตนเป็น "กษัตริย์แห่งนาโปลีและซิซิลี"
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คและราชวงศ์บูร์บงของสเปน
[แก้]ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ราชอาณาจักรนาโปลียังคงพัวพันอยู่ในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจจากต่างแดนที่เข้ามาครอบงำอิตาลี ในปี ค.ศ. 1495 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสอ้างตนเป็นผู้ปกครองราชอาณาจักรในช่วงสั้น ๆ หลังตกเป็นของชาวสเปนในปี ค.ศ. 1504 นาโปลีและซิซิลีอยู่ภายใต้การปกครองของอุปราชเป็นเวลาสองศตวรรษ ภายใต้การปกครองของสเปนประเทศถูกมองเป็นเพียงแหล่งรายได้และประสบกับความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง การเรียกเก็บภาษีที่ขูดเลือดขูดเนื้อก่อให้เกิดการก่อกบฏของชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1647 (การปฏิวัติของมาซานีเอโล) แต่ชาวสเปนกับกลุ่มบารอนร่วมมือกันปราบจราจลได้ในปี ค.ศ. 1648
สงครามสืบราชบัลลังก์สเปนในปี ค.ศ. 1701–14 ส่ผลให้ราชอาณาจักรนาโปลีตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คของออสเตรีย (ซิซิลีตกอยู่ภายในการปกครองของปีเยมอนเตในช่วงสั้น ๆ) ปี ค.ศ. 1734 ดอนการ์โลส เด บูร์บง เจ้าชายสเปนที่ต่อมากลายเป็นพระเจ้าการ์โลสที่ 3 ได้พิชิตนาโปลีและซิซิลีที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้การบริหารราชการของราชวงศ์บูร์บงของสเปนในฐานะราชอาณาจักรแยก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงที่ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรมได้สนับสนุนการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนจากความอยุติธรรมในทางสังคมและการเมืองมาเป็นรัฐสมัยใหม่
ราชอาณาจักรของนโปเลียน
[แก้]พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 4 แห่งราชวงศ์บูร์บงหยุดโครงการปฏิรูปชั่วคราวโดยมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้แนวคิดเรื่องสาธารณรัฐและระบอบประชาธิปไตยดำเนินต่อไป แนวคิดดังกล่าวเป็นที่เรียกร้องของกลุ่มเสรีชน อันได้แก่ กลุ่มปัญญาชนชั้นกลาง, กลุ่มขุนนาง และกลุ่มนักบวช ที่มองว่าการปฏิรูปของราชวงศ์บูร์บงเป็นการทำเพื่อเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์มากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของชาติ กลุ่มผู้รักชาติเริ่มวางแผนการสมคบคิดและถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง กองทัพของพระเจ้าเฟร์นันโดร่วมมือกับกองทัพพันธมิตรต่อต้านสาธารณรัฐฝรั่งเศสในสงครามสัมพันธมิตรครั้งที่สองซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือความหายนะ นาโปลีถูกชาวฝรั่งเศสแย่งชิงไป พระเจ้าเฟร์นันโดหนีไปซิซิลี วันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1799 มีการประกาศตั้งสาธารณรัฐปาเตโนเปอาแต่ถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการคุ้มครอง นครนาโปลีที่ถูกชาวฝรั่งเศสทอดทิ้งถูกกองกำลังของพระเจ้าเฟร์นันโดตีแตกในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1799 กลุ่มคนรักชาติที่ต้านทานด้วยความสิ้นหวังได้รับการสัญญาว่าจะให้อิสรภาพในการตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะออกจากประเทศจึงยอมแพ้ แต่ในวันที่ 24 มิถุนายน กองเรือของโฮราชิโอ เนลสันมาถึง เนลสันที่ทำข้อตกลงกับกลุ่มอำนาจในซิซิลีได้ยกเลิกเงื่อนไขในข้อตกลงยอมแพ้ ชาวสาธารณรัฐหลายคนถูกจับตัวและถูกประหารชีวิต พระเจ้าเฟร์นันโดเสด็จกลับนาโปลี แต่การสมคบคิดวางแผนกับชาวออสเตรียและชาวบริเตนของพระองค์ทำให้นโปเลียนเดือดดาล
หลังปราบชาวออสเตรียได้ที่เอาสเทอร์ลิทซ์ นโปเลียนส่งโฌแซ็ฟ น้องชายของตนไปพิชิตราชอาณาจักรของพระเจ้าเฟร์นันโดซึ่งตอนแรกนโปเลียนได้ผนวกเข้ากับราชอาณาจักรฝรั่งเศส แต่ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1806 ได้ประกาศให้เป็นเอกราชโดยมีโฌแซ็ฟเป็นกษัตริย์ เมื่อโฌแซ็ฟถูกย้ายไปสเปนในปี ค.ศ. 1808 นโปเลียนยกนาโปลีให้ฌออากีม มูว์รา ซึ่งเป็นน้องเขย ภายใต้การปกครองของชาวฝรั่งเศสนาโปลีถูกทำให้เป็นสมัยใหม่มากขึ้นด้วยการล้มเลิกระบอบศักดินาและนำกฏข้อบัญญัติต่าง ๆ มาใช้ มูว์ราเป็นกษัตริย์ที่ได้รับความนิยมพอสมควร พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 4 (ต่อมาคือพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 1 แห่งซิซิลีทั้งสอง) ถูกบีบให้หนีไปซิซิลีสองครั้ง ที่นั่นทรงได้รับการช่วยเหลือจากชาวบริเตน
การฟื้นฟูราชอาณาจักรที่ในตอนนี้ถูกเรียกว่าราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสองทำให้สุดท้ายถูกจัดให้เป็นรัฐอนุรักษ์นิยมของยุโรป แม้มีหลายคนในราชอาณาจักรที่รับเอาแนวคิดแบบเสรีชนมา แต่กษัตริย์ยืนยันหลายครั้งว่าราชอาณาจักรปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้เกิดการบดขยี้กันทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปฏิวัติครั้งรุนแรงเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1820 เมื่อพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 1 ถูกบีบให้มอบรัฐธรรมนูญและเกิดขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1848 ในรัชสมัยของพระเจ้าฟรานเชสโกที่ 2 เมื่อซิซิลีพยายามจะประกาศอิสรภาพ การเมืองและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของราชอาณาจักรนำไปถูกการแตกพ่ายอย่างง่ายดายเมื่อต้องรับมือกับการรุกรานของจูเซปเป การีบัลดีในปี ค.ศ. 1860 ในการลงประชามติในปีเดียวกันนั้นทั้งนาโปลีกับซิซิลีลงคะแนนเสียงขอรวมตัวกับอิตาลีเหนืออย่างท่วมท้น
การสืบบัลลังก์
[แก้]
ราชวงศ์อ็องฌู
[แก้]- ชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอ็องฌู หรือ พระเจ้าคาร์โลที่ 1 แห่งนาโปลี ปฐมกษัตริย์แห่งนาโปลีซึ่งเป็นพระโอรสคนเล็กของพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสกับพระราชินีบลังกาแห่งกัสติยา ทรงอภิเษกสมรสสองครั้ง ครั้งแรกกับเบียทริซแห่งพรอว็องส์ ซึ่งนับว่าเป็นพระราชินีคู่สมรสคนแรกของนาโปลี หลังพระนางสิ้นพระชนม์ พระเจ้าชาร์ลส์อภิเษกสมรสใหม่กับมาร์เกอรีตแห่งบูร์กอญ
- พระเจ้าคาร์โลที่ 2 แห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระราชบิดา กษัตริย์คนก่อนได้จับพระโอรสธิดาสองคนสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี โดยพระเจ้าคาร์โลที่ 2 ถูกจับให้สมรสกับมาเรียแห่งฮังการี ขณะที่พระขนิษฐาของพระองค์อภิเษกสมรสกับพระเจ้าลาสโลที่ 4 แห่งฮังการี
- พระเจ้าโรแบร์โตแห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระราชบิดา เนื่องจากพระโอรสคนโตของของกษัตริย์คนก่อนสิ้นพระชนม์ก่อนพระราชบิดา พระโอรสคนที่สองบวชเป็นบิชอป ส่วนคาร์โล พระราชนัดดาเป็นเพียงเด็กน้อย พระเจ้าโรแบร์โตซึ่งเป็นพระโอรสคนที่สามจึงได้ขึ้นครองราชย์ พระพระองค์สมรสสองครั้ง ครั้งแรกกับโยลันดาแห่งอารากอนซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1302 ทรงจึงสมรสใหม่กับซันชาแห่งมายอร์กา
- สมเด็จพระราชินีนาถโจวานนาที่ 1 แห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระอัยกา เนื่องจากกษัตริย์คนก่อนมีพระโอรสเพียงคนเดียวซึ่งสิ้นพระชนม์ก่อนพระราชบิดา ธิดาคนโตของพระโอรสผู้ล่วงลับจึงได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระอัยกา ซึ่งในตอนนั้นพระนางเป็นเด็กกำพร้าเนื่องจากทั้งพระบิดามารดาต่างสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เพื่อให้สายเลือดของพระภาติยะของพระเจ้าโรแบร์โตได้กลับคืนสู่บัลลังก์ พระราชินีโจวานนาถูกจับสมรสกับแอนดรูว์แห่งฮังการีที่แม้จะได้รับยศเป็นกษัตริย์ แต่มีบทบาทน้อยมากในการบริหารปกครองและถูกฆาตกรรมในเวลาต่อมา พระราชินีนาถโจวานนาได้ให้กำเนิดพระราชโอรสที่ประสูติหลังการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา แต่เด็กน้อยมีชีวิตอยู่ได้เพียงสองปี ต่อมาพระนางได้อภิเษกสมรสใหม่กับลุยจิ เจ้าชายแห่งตารันโต แต่การสมรสไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก พระเชษฐาของแอนดรูว์ อดีตพระสวามี ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งฮังการีได้บุกนาโปลี พระราชินีนาถโจวานนาจึงต้องหนีไปจากราชอาณาจักร พระนางได้ให้กำเนิดพระธิดานามว่าแคทเธอรีน ทั้งคู่ได้กลับมานาโปลีอีกครั้งหลังกษัตริย์แห่งฮังการีทิ้งนาโปลีซึ่งกำลังเกิดโรคระบาดไป พระนางได้ให้กำเนิดพระธิดาอีกคนนามว่าฟร็องซัวส์ แต่พระธิดาทั้งสองสิ้นพระชนม์เร็ว จากนั้นพระราชินีนาถโจวานนาก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกแม้จะทรงอภิเษกสมรสใหม่อีกสองครั้ง พระนางถูกฆาตกรรมอย่างทารุณที่ปราสาทมูโรในปี ค.ศ. 1382
- พระเจ้าคาร์โลที่ 3 แห่งนาโปลี บุตรคนเดียวของลุยจิแห่งดูรัซโซ บุตรชายคนเล็กของจอห์น ดยุคแห่งดูรัซโซ พระโอรสคนเล็กของพระเจ้าคาร์โลที่ 2 แห่งนาโปลีกับมาเรียแห่งฮังการี พระเจ้าคาร์โลที่ 3 สมรสกับมาร์เกริตาแห่งดูรัซโซ บุตรสาวของมาเรีย พระขนิษฐาของพระราชินีนาถโจวานนาที่ 1 ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งของตนเอง พระองค์ยังครองตำแหน่งเป็นกษัตริย์แห่งฮังการีในช่วงสั้น ๆ กระทั่งถูกลอบสังหารตามคำสั่งของเอลิซาเบธแห่งบอสเนีย พระราชินีม่ายของพระเจ้าลาโยสที่ 1 แห่งฮังการีที่คิดว่ามาเรีย พระธิดาของพระนางสมควรได้เป็นครองราชย์
- พระเจ้าลาดิสเลา (ลาสซโล) แห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งในนาโปลีต่อจากพระราชบิดา พระองค์สามครั้ง ครั้งแรกกับคอนสตันซา เคียรามอนเตซึ่งหย่ากันโดยไม่มีพระโอรสธิดา ทรงสมรสใหม่กับมารีแห่งลุยซินญ็องซึ่งสิ้นพระชนม์หลังสมรสได้เพียงหนึ่งปี พระเจ้าลาดิสเลาสมรสใหม่อีกครั้งกับมารีแห่งอ็องกิย็อง แต่ก็ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน
- สมเด็จพระราชินีนาถโจวานนาที่ 2 แห่งนาโปลี พระเชษฐภคินีของกษัตริย์คนก่อน มีพระชนมายุ 41 พรรษาขณะขึ้นครองราชย์และเคยสมรสกับวิลเฮล์ม ดยุคแห่งออสเตรียซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว พระนางอภิเษกสมรสกับฌาคส์ที่ 2 เคานต์แห่งลามาร์ช แต่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน เนื่องจากไม่มีทายาทสายตรง พระนางได้ประกาศชื่อเรอเนแห่งอ็องฌูเป็นทายาทของตน
- พระเจ้าเรนาโต (เรอเน) ที่ 1 แห่งนาโปลี สมรสสองครั้ง ครั้งแรกกับอีซาแบล ดัชเชสแห่งโลร์แรนซึ่งสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา พระองค์สมรสใหม่กับฌาน เดอ ลาวาล มาร์เกอรีต พระธิดาซึ่งเกิดจากพระมเหสีคนแรกค์ต่อมาได้สมรสกับพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ พระเจ้าเรนาโตถูกขับไล่ออกจากนาโปลีโดยพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 5 แห่งอารากอน
ราชวงศ์อารากอน
[แก้]- พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 5 แห่งอารากอนและที่ 1 แห่งนาโปลี สมรสกับมารีอาแห่งกัสติยา แต่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกัน
- พระเจ้าเฟร์ดินันโด (เฟร์นันโด) ที่ 1 แห่งนาโปลี พระโอรสนอกสมรสของกษัตริย์คนก่อน พระองค์สมรสกับอีซาแบลแห่งเค]ร์มงต์ซึ่งเป็นหลานสาวจากการสมรสครั้งแรกของมารีแห่งอ็องกิย็อง หลังอีซาแบลสิ้นพระชนม์ พระเจ้าเฟร์ดินันโดสมรสใหม่กับชวนนาแห่งอารากอน พระราชธิดาของพระเจ้าชวนที่ 2 แห่งอารากอน
- พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระราชบิดา ทรงสมรสกับอิปโปลิตา มาเรีย สฟอร์ซา
- พระเจ้าเฟร์ดินันโดที่ 2 แห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระราชบิดาซึ่งสละบัลลังก์ ทรงสมรสกับโจวานนาแห่งนาโปลี พระปิตุจฉาวัย 18 พรรษาซึ่งเป็นพระขนิษฐาต่างมารดาของพระราชบิดา
- พระเจ้าเฟเดริโกแห่งนาโปลี สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระภาติยะ ทรงสมรสกับกับอานน์แห่งซาวอยซึ่งเสียชีวิตจากการคลอดลูก พระองค์สมรสใหม่กับอิซาเบลลา เดล บันโซ ในปี ค.ศ. 1501 ทรงถูกพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศสขับไล่ออกจากตำแหน่งกษัตริย์แห่งนาโปลี ก่อเกิดเป็นสงครามที่ทำให้พระเจ้าเฟร์รันโดที่ 2 แห่งอารากอนกลายเป็นกษัตริย์แห่งนาโปลี
- พระเจ้าเฟร์รันโดที่ 2 แห่งอารากอน
- สมเด็จพระราชินีนาถชวนนา (ฆวนนา) แห่งกัสติยา สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์แห่งซิซิลี, กษัตริย์แห่งอารากอน, บาเลนเซีย และมายอร์กา, เคานต์แห่งบาร์เซโลนา, กษัตริย์แห่งกัสติยาและเลออน, กษัตริย์แห่งนาโปลี และกษัตริย์แห่งนาวาร์ต่อจากพระราชบิดา
- จักรพรรดิคาร์ล (การ์โลส) ที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระราชมารดา
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คและราชวงศ์บูร์บงของสเปน
[แก้]ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คปกครองนาโปลีไปจนถึงปี ค.ศ. 1734 เมื่อทั้งนาโปลีและซิซิลีต่างถูกกองทัพสเปนเข้ายึดครอง การ์โลส ดยุคแห่งปาร์มา พระราชโอรสคนเล็กของพระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปนได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แห่งนาโปลีและซิซิลีในปี ค.ศ. 1735 ทรงสมรสกับมาเรีย อามาเลียแห่งซัคเซิน การ์โลสไม่ถูกนับเป็นกษัตริย์ผู้ปกครอง แต่พระองค์กลับถูกเรียกว่าการ์โลสแห่งบูร์บง ต่อมาทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสเปน
- พระเจ้าเฟร์ดินันโด (เฟร์นันโด) แห่งซิซิลีทั้งสอง พระโอรสคนเล็กของพระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน (การ์โลส ดยุคแห่งปาร์มา) ทรงสมรสกับมาเรีย คาร์โรลินาแห่งออสเตรีย พระราชธิดาของจักรพรรดินีมาเรีย เธเรเซีย พระองค์ถูกปลดลงจากบัลลังก์นาโปลีสองครั้ง หนึ่งครั้งโดยกลุ่มปฏิวัติสาธารณรัฐปาร์เธโนเปียเป็นระยะเวลา 6 เดือน และอีกครั้งโดยนโปเลียน โบนาปาร์ต ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1816 พระองค์ได้รวมราชอาณาจักรนาโปลีและราชอาณาจักรซิซิลีเข้าด้วยกันกลายเป็นราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง
อ้างอิง
[แก้]- Kingdom of Naples HISTORICAL STATE, ITALY: Britannica
- Lost Kingdoms: Kingdom of Naples: History of Royal Women
แหล่งที่มา
[แก้]- Colletta, Pietro (13 October 2009), The History of the Kingdom of Naples: From the Accession of Charles of Bourbon to the Death of Ferdinand I, I. B. Tauris, ISBN 978-1-84511-881-5, สืบค้นเมื่อ 20 February 2011
- Musto, Ronald G. (2013). Medieval Naples: A Documentary History 400–1400. New York: Italica Press. ISBN 9781599102474. OCLC 810773043.
- Porter, Jeanne Chenault (2000). Baroque Naples: A Documentary History 1600–1800. New York: Italica Press. ISBN 9780934977524. OCLC 43167960.
- Santore, John (2001). Modern Naples: A Documentary History 1799–1999. New York: Italica Press. pp. 1–186. ISBN 9780934977531. OCLC 45087196.